วิทยุออนไลน์
หน้าแรก
ประวัติ
วัดไทย
ธรรมะปฎิบัติ
วันสำคัญ
เว็บลิ้งค์
เว็บบอร์ด

เมนูหลัก
หน้าแรก
ประวัติ
วัดไทย
ธรรมะปฎิบัต
วันสำคัญ
เว็บลิ้งค์
เว็บบอร์ด

dhammathai.org
ข่าวธรรมะ
หัวข้อธรรม
ศาสนพิธ
ทศชาติชาดก
พุทธศาสนสุภาษิต
พจนานุกรมพุทธศาสน
คลังแสงแห่งธรรม

 

วิธีการปฏิบัติกรรมฐาน

การฝึกสมาธิ.... บริกรรมยุบหนอ- พองหนอ เน้นการใช้สติปัฏฐาน 4 ควบคู่กับการบริกรรมยุบหนอ-พองหนอ สติปัฎฐาน แปลว่า ที่ตั้งของสติ
เป็นทางสายเอกที่พระพุทธองค์ทรงสอนให้สาวกปฎิบัติ และ กล่าวว่าเป็นการปฎิบัติไปสู่พระนิพพานได้อย่างไม่ล่าช้า การปฎิบัติวิธีนี้คือ
การมีสติตามรู้ ในที่ตั้งของสติ อย่างต่อเนื่อง คือ

กายานุปัสสนาสติปัฎฐาน ได้แก่ การตั้งสติดูลมหายใจเข้าออก ดูอริยาบถยืน เดิน นั่ง นอน และ ในการเคลื่อนไหวในอริยาบถย่อย เช่น เหลียวซ้าย แลขวา คู้ เหยียด ถอย ถ่าย
เวทนานุปัสสนาสติปัฎฐาน ได้แก่การ ตั้งสติพิจารณาดู สุข ทุกข์ และ อุเบกขาเวทนา (เฉย) จน เห็นเวทนาเหล่าดับไป
จิตตานุปัสสนาสติปัฎฐาน เฝ้าดูจิตตนในกิเลส ราคะ โทสะ โมหะ ให้เห็นอาการที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป
ธรรมมานุปัสสนาสติปัฎฐาน กำหนดรู้ธรรม 5 อย่างคือ นิวรณ์ 5 ขันธ์ 5 อายตนะ 12 โพชฌงค์ 7 และ อริยสัจ 4 ให้ได้รู้ภาวะความเป็นจริงของอนัตตา คือ ความไม่ใช่ตัวตน การฝึกอิริยาบถย่อยคือ ฝึกให้มีสติรู้ตลอดเวลา ตั้งแต่ตื่นนอน ให้สติตามรู้ตั้งแต่ลมหายใจแรกที่ตื่นนอน ลุกเคลื่อน ไหว เข้าห้องน้ำ รับประทานอาหาร ทำงานต่าง ๆ จนกระทั่งเอนตัวลงนอน สติตามจนรู้ลมหายใจ เข้าหรือ ออก ในขณะเมื่อจะหลับ การนั่งสมาธิ และ เดินจงกรม ที่สอนในแนวนี้ อาจมีความแตกต่างกันบ้างในรายละเอียด ตามแต่อาจารย์ที่สอน วิธีการโดยทั่ว ๆ มีคือดังนี้

การเดินจงกรม ให้ยืนตัวตรง ใบหน้าและลำคอตรง ทอดสายตาไปที่พื้นห่างจากปลายเท้าประมาณ 2-3 เมตร เอามือวางหน้าท้องเหนือสะดือเล็กน้อย ยกเท้าขวาจากพื้นช้าๆ พร้อมกับบริกรรม “ขวา” พอเท้าขวาเคลื่อนไปข้างหน้า บริกรรม “ย่าง” พอเท้าขวาลงจดพื้น บริกรรม “หนอ” และยกเท้าซ้าย บริกรรม “ซ้าย” พอเท้าซ้ายเคลื่อนไปข้างหน้า กำหนด”ย่าง” พอเท้าซ้ายจดพื้น บริกรรม “หนอ” พอเดินไปได้ สุดทาง ประมาณ 7-8 เมตรหรืออย่างน้อยควรมีที่เดินได้สัก 8 ก้าว ก็กำหนดหยุดหนอ เท้าชิดกันบนพื้น ยืนตรงกำหนด “ยืนหนอ” แล้วก็กลับตัว กำหนด “กลับหนอ” พร้อมหมุนส้นเท้าขวา ตามด้วยเท้าซ้ายอย่างช้า ๆ ค่อย ๆ ทำจนหมุนกลับมาทางเดิม และเริ่ม ขวา-ย่าง-หนอ และ ซ้าย-ย่าง-หนอ ต่อไปจนครบเวลาพอสมควร เมื่อฝึกกำหนดจนคล่องแล้วอาจเพิ่ม การกำหนดละเอียดขึ้นไปอีก จนครบ ๖ ระยะ คือ
๑. ขวา... ย่าง... หนอ ..., ซ้าย ... ย่าง ... หนอ...
๒. ยก... หนอ... , เหยียบ... หนอ...
๓. ยก... หนอ... , ย่าง.... หนอ... , เหยียบ... หนอ...
๔. ยกส้น ... หนอ...., ยก....หนอ..., ย่าง...หนอ...., เหยียบ.... หนอ....
๕. ยกส้น .... หนอ....., ยก.... หนอ..., ย่าง... หนอ..., ลง... หนอ..., ถูก... หนอ...
๖. ยกส้น... หนอ..., ยก... หนอ..., ย่าง... หนอ..., ลง... หนอ..., ถูก... หนอ ..., กด... หนอ...
ถ้าเป็นสายคุณแม่สิริ กรินชัย จะเพิ่มระยะที่ ๗
๗. ยกส้น... หนอ ..., ไม่คิดหนอ, ยก... หนอ...ไม่คิดหนอ, (ทวนระยะ ๖ เพิ่มคิดและไม่คิด)

การนั่งสมาธิ ให้นั่งแบบพระพุทธรูปที่ใช้พระหัตถ์ขวาทับพระหัตถ์ซ้ายบนตัก ผู้ที่ไม่ถนัดอาจอนุโลมให้นั่งพับเพียบ หรือนั่งเก้าอี้ก็ได้ แต่ต้องนั่งตัวตรง และไม่พิงพนักเก้าอี้ หลับตา ให้เอาสติมาจับอยู่ที่ท้องเหนือสะดือ ขึ้นมาประมาณ 2 นิ้ว หายใจตามปรกติ โดยเวลาหายใจเข้า ท้องโป่งพองออก กำหนดว่า “ พองหนอ” เวลาหายใจออกท้องจะแฟบยุบ ก็กำหนดว่า “ ยุบหนอ” โดยกำหนดให้เท่าทันอาการ ในเวลานั่งไป หากได้ยินเสียง ก็กำหนดยินหนอ หากมีความปวดเมื่อยเกิด ก็กำหนดเมื่อยหนอจนหายไป คงมีสติกำหนดในอาการต่าง ๆ ตามสติปัฏฐาน 4 หากไม่มีอาการอื่นก็ กำหนดพองยุบต่อไปจนเห็นความดับเฉยของ พองยุบ เวลาที่ใช้ในการนั่งสมาธิมักใช้เวลาพอดีกับการ เดินจงกรม

การทำจิตให้เกิดดับ
การทำจิตให้เกิดดับนั้น มีประโยชน์หลายประการคือ ดับกิเลสทางใจ ทำลายอนุสัยที่นอนเนื่องอยู่ในจิตได้ ทำลายรูปหยาบทำให้เกิดความเบากาย เบาใจ ทำให้ความทุกข์คลาย คือ ขณะที่เราทำความเพียรและเกิดความทุกข์ที่กาย เมื่อเรากำหนดจิตให้เกิดดับ ความทุกข์ที่เกาะกายก็จะดับไปคลายไปพร้อมกับอาการเกิดดับที่เกิดขึ้น

วิธีการกำหนดจิตให้เกิดดับ
ครั้งแรกให้ผู้ปฏิบัติทำความรู้สึกไปตลอดกายก่อน เมื่อมีความรู้สึกไปตลอดกายแล้ว ให้กำหนดจิตไว้ที่ระหว่างตาแล้วมองย้อนกลับเข้าภายในกาย เมื่อมองย้อนกลับเข้าภายในแล้ว ให้มองดูระหว่างที่ตาและทรวงอกกลางกายใต้ลิ้นปี่ เมื่อมีสติอุเบกขา เพ่งดูอยู่ที่ระหว่างตาและทรวงอก ก็จะเห็นอาการเกิดดับเกิดขึ้น ในระยะแรก อาการเกิดดับนี้จะค่อย ๆ ก่อน จากนั้นก็จะแรงขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อการเกิดดับเกิดขึ้นที่จิตแรงแล้ว ให้ผู้ปฏิบัติเลื่อนจิตมาไว้ที่ท้ายทอย แล้วปล่อยกระแสจิตนั้นให้ไหลเวียนลงในกาย ก็จะเห็นความเกิดดับเกิดขึ้นตลอดกาย หรือถ้าผู้ปฏิบัติเห็นว่าอาการเกิดดับ ที่เกิดขึ้นนั้นแรงมาก ก็ไม่ต้องยกจิตขึ้นที่ท้ายทอย ให้แผ่กระแสใจไปให้ตลอดกายเลยก็ได้ โดยตั้งสติอุเบกขา ทำความรู้สึกไปตลอดกาย ความเกิดดับก็จะขยายไปตลอดกาย ความรู้สึกทุกข์ แน่นอก แน่นใจต่าง ๆ ก็จะดับไป

การเกิดดับนี้เกิดขึ้นได้ ๒ สาเหตุคือ
๑. เกิดจากการกำหนดจิตของผู้ปฏิบัติ คือผู้ปฏิบัติสร้างขึ้นมาด้วยการกำหนดจิต
๒. เกิดขึ้นเองโดยที่ผู้ปฏิบัติมีสติ มีความรู้สึกตัวทั่วพร้อม และขณะที่มีความรู้สึกตัวทั่วพร้อมนั้นเกิดญาณปัญญาขึ้น ทำให้เห็นอาการเกิดดับเกิดขึ้นตลอดกาย

การเกิดดับที่เกิดขึ้นทั้ง ๒ อย่างนี้ มีอำนาจทำลายกิเลสได้เหมือนกัน แต่การเกิดดับที่เกิดจากญาณปัญญานั้นจะดีกว่า คือ อาการเกิดดับที่เกิดขึ้นนั้น จะละเอียดอ่อน ประณีตกว่า และทำลายอนุสัยได้ดีกว่า เมื่อเกิดดับไปตลอดกายแล้ว ธรรมะจะเกิดขึ้นมาแทน จะทำให้กายภายในนั้นเอิบอิ่ม ส่วนการเกิดดับที่สร้างขึ้นนั้นจะมีลักษณะหยาบกว่าเกิดจากญาณ และเมื่อดับนาน หรือดับมากเกินไปก็จะทำให้ผู้ปฏิบัติเกิดความอ่อนเพลีย ดังนั้นเมื่อผู้ปฏิบัติกำหนดจิตให้เกิดดับแล้ว ก็ควรยกจิตให้เหนือจากการเกิดดับด้วย และควรสร้างพลังงานจิตภายหลัง โดยการหายใจให้เต็มอกแล้วประคองลมไว้ในอก พักจิตให้นิ่งเฉย จิตก็จะเกิดพลังมีความอิ่มขึ้นเอง

วิธีการประคองจิต Smart tip : วิธีแก้อาการฟุ้งซ่านในขณะทำสมาธิ อุบายหนึ่งที่จะแนะนำ เพื่อแก้อาการฟุ้งซ่าน คือ การประคองจิต
การประคองจิต คือ การนึกไว้ ตั้งใจไว้ ทำความรู้สึกไว้ในร่างกายบริเวณใดบริเวณหนึ่ง โดยทำความรู้สึกเรื่อย ๆ ไม่บังคับจิต ไม่กดจิต และไม่จำกัดเนื้อที่ว่าต้องเป็นจุดเดียวหรือที่เดียว คือจะประคองในบริเวณกว้างหรือแคบก็ได้ เพียงแต่ประคองให้อยู่กับตัวเท่านั้น ให้จิตมีอารมณ์เดียว ไม่ฟุ้งซ่าน เสียพลังงาน ขาดปัญญา

การประคองจิตในอิริยาบถนั่ง
1. ให้ทำความรู้สึกไว้ที่สะโพกที่นั่งสัมผัสกับพื้น ให้ประคองจิตอยู่กับจุดกระทบนั้น จนกว่าจิตจะคุ้นเคยกับกาย ไม่คิดออกไปภายนอก (อาจใช้เวลาหลายวัน)
2. แล้วให้เลื่อนมาประคองจิตไว้ที่ใจ ขั้นแรกจะประคองจิตให้เต็มทรวงอกเลย นึกไว้ตั้งใจไว้ที่ทรวงอกจนกระทั่ง มีความรู้สึกอบอุ่น หรือร้อนที่ทรวงอก แสดงว่าจิตนั้นเริ่มรวมตัวที่ใจแล้ว สำหรับผู้ที่จะฝึกสมาธิขั้นสูงต่อไปต้องฝึกหัดประคองจิตให้ชำนาญ แล้วจึงเริ่มการกำหนดจิตซึ่งจะกล่าวต่อไปภายหลัง การประคองจิตนอกจากเป็นการแก้ฟุ้งซ่าน ได้เป็นอย่างดีแล้ว ยังเป็นการปูทางสู่การปฎิบัติสมาธิวิปัสสนาชั้นสูงต่อไป

การทำสมาธิให้เคลื่อนใหว
สมาธิเคลื่อนไหวแบบหลวงพ่อเทียน
วิธีเจริญสติในอิริยาบถนั่ง
การนั่ง - จะนั่งพับเพียบก็ได้ นั่งเหยียดขาก็ได้ นั่งขัดสมาธิก็ได้ นั่งเก้าอี้ห้อยเท้าก็ได้ แล้ว
เอามือวางไว้ที่ขาทั้งสองข้าง …. คว่ำไว้
พลิกมือขวาตะแคงขึ้น ….ทำช้า ๆ ….ให้รู้สึก
ยกมือขวาขึ้นครึ่งตัว …..ให้รู้สึก ….หยุดก็ให้รู้สึก
เอามือขวามาที่สะดือ…..ให้รู้สึก
พลิกมือซ้ายตะแคงขึ้น…..ให้รู้สึก
ยกมือซ้ายขึ้นครึ่งตัว ……. ให้มีความรู้สึก
เอามือซ้ายมาที่สะดือ ….ให้รู้สึก
เอามือขวาขึ้นหน้าอก….. ให้รู้สึก
เอามือขวาออกตรงข้าง ….ให้รู้สึก
ลดมือขวาลงที่ขาขวา ตะแคงไว้ ….ให้รู้สึก
เลื่อนมือซ้ายขึ้นที่หน้าอก ……ให้มีความรู้สึก
เอามือซ้ายออกมาตรงข้าง ……ให้มีความรู้สึก
เอามือซ้ายออกที่ขาซ้าย …… ตะแคงไว้ ….ให้มีความรู้สึก
คว่ำมือซ้ายลงที่ขาซ้าย …….ให้รู้สึก
ทำต่อไปเรื่อย ๆ ……ให้รู้สึก

การพิจารณาจิต
คือการตรวจดูจิตของตนว่าจิตนั้นมีกิเลสหรือไม่ จิตผ่องใสหลุดพ้นหรือไม่ คือ เมื่อผู้ปฏิบัติรู้จักจิต จับจิตได้ และสามารถรักษาจิตจนจิตผ่องใส แล้วปล่อยจิตให้เป็นอิสระ เมื่อผู้ปฏิบัติปล่อยจิตให้เป็นอิสระแล้ว ก็จะต้องหมั่นพิจารณาจิตด้วยว่า จิตของตนนั้นถูกกิเลสนิวรณ์เข้าหุ้มห่ออีกหรือไม่ เพราะจิตนั้นเป็นธรรมชาติที่รับอารมณ์อยู่เสมอ และเกิดดับรวดเร็วมาก ดังนั้นถ้าหากผู้ปฏิบัติปล่อยจิตที่หลุดพ้นแล้วให้เป็นอิสระ นานเข้าอาจขาดสติ ทำให้จิตถูกนิวรณ์เจ้าครอบงำอีกได้ เหมือนผ้าขาวที่เราหมั่นซักรอยเปื้อนออก ผ้าก็จะขาวสะอาดเรื่อยไป จิตก็เช่นกัน เมื่อผ่องใสหลุดพ้นจากกิเลสแล้ว เราปล่อยให้เป็นอิสระตามธรรมชาตินานเข้า ก็อาจถูกนิวรณ์เข้าห่อหุ้มได้ เพราะฉะนั้นผู้ปฏิบัติจะต้องหมั่นพิจารณาดูจิตของตนเองอยู่เสมอว่า จิตนั้นถูกกิเลสนิวรณ์เข้าห่อหุ้มหรือไม่ เมื่อเห็นว่าจิตของตนถูกน

การฝึกมโนมยิทธิ
มโนมยิทธิเป็นส่วนหนึ่งของอภิญญา มีกล่าวถึงในวิสุทธิมรรค ของพระพุทธโฆษาจารย์ เมืองสะเทิม
มโนมยิทธิ หมายถึง มีฤทธิ์ทางใจ พระราชพรหมยานหรือหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ท่านได้เรียนมาจากฆราวาสชื่อ อาจารย์สุข และได้นำมาฝึกสอน ลูกศิษย์ ผู้ที่ฝึกได้จึงต้องมีอัชฌาสัย ทางฉฬภิญโญเท่านั้น ผู้ที่ฝึกแล้ว ไม่ได้ จึงมีอยู่ การเริ่มต้น ควรไปฝึกที่วัดท่าซุง จ. อุทัยธานี หรือบ้านสายลม (ถนนพหลโยธินซอย 8 ) กรุงเทพ ฯ จะมีคณะครูคอยแนะนำ

การฝึกเบื้องต้น ผู้ที่จะฝึกอย่างน้อยขณะที่ฝึกต้อง
- มีศีล 5 บริสุทธิ์
- มีพรหมวิหารประจำใจเป็นปกติ
- ต้องไม่มีนิวรณ์ 5
- ต้องมีศรัทธา
- ต้องมีอิทธิบาท 4
เมื่อพร้อมแล้ว สวดมนต์บูชาพระ สมาทานกรรมฐานแล้ว ทำจิตให้สบาย ละ วาง ขันธ์ทั้งหมด และภาระทางโลก ระลึกถึงครูบาอาจารย์ และพระพุทธองค์ ขอท่านโปรดสงเคราะห์ด้วย แล้วจึงเริ่มภาวนา หายใจเข้าว่า “นะมะ“ หายใจออกว่า “พะทะ” เวลาภาวนา ให้จิตจดจ่อต่อคำภาวนา เฉย ๆ และรู้ลมหายใจเข้าออกด้วย จนกว่าจิตสงบ กำหนดภาพนิมิต เช่นพระพุทธรูป เป็นต้น ให้ภาพชัดเจนแจ่มใส แล้วกำหนดจิตออกไปกราบท่าน คราวนี้อยากไปไหน ก็ขอท่านผู้ที่มาสงเคราะห์นั้นให้พาไป หรืออยากรู้อะไรก็กำหนดจิตถามได้ การรู้การเห็นจะถูกต้องหรือไม่ ขึ้นอยู่กับความสะอาดของจิตของท่านเอง เมื่อทำได้แล้วให้หมั่นทำบ่อย ๆ จนถึงขั้น ลืมตา รู้ เห็น และไม่ต้องตั้งท่านั่งสมาธิ


ลักษณะจิตที่หลุดพ้น

ลักษณะจิตที่หลุดพ้นนั้นมีลักษณะการหลุดพ้นต่างกัน จำแนกออกได้ 5 ประเภทคือ
๑. ตทงฺควิมุตฺติ คือ ความหลุดพ้นเป็นบางขณะ ได้แก่ ความหลุดพ้นที่เกิดจากความสงบของจิตในบางคราว หรืออาจเกิดจากการเจริญวิปัสสนาแล้วเห็นทุกข์ ทำให้จิตละสังขารเพียงบางครั้งบางคราว แต่ไม่เกิดปัญญา ไม่เกิดมรรค ที่จะทำลายกิเลสให้สิ้นไปได้ เพียงแต่ละได้ในบางครั้งบางคราวเป็นขณะ ๆ เท่านั้น
๒. วิกฺขมฺภนวิมุตฺต ิ จิตหลุดพ้นโดยการใช้สมาธิกดข่มจิตไว้ คือ การเข้าฌาณสมาบัติ ระงับจิตจากกิเลสชั่วคราว จัดเป็นโลกียวิมุติ เมื่อออกจากฌานสมาบัติ กิเลสก็เข้าเกาะกุมจิตได้อีก เป็นความหลุดพ้นที่ไม่เด็ดขาด เพราะมรรคไม่ประหารนั่นเอง
๓. สมุจฺเฉทวิมุตฺติ จิตหลุดพ้นโดยมรรคประหารกิเลส ขาดไปจากจิต เป็นการหลุดพ้นโดยเด็ดขาด คือ กิเลสขาดไปจากจิต ได้แก่ ผู้เจริญสมถวิปัสสนาจนเกิดมัคญาณประหารกิเลสในจิต
๔. ปฏิปสฺสทฺธิวิมุตฺต ิ จิตหลุดพ้นด้วยความสงบ คือ จิตสงบหลุดพ้นจากกิเลสเป็นผลเกิดจากมรรคประหาร
๕. นิสฺสรณวิมุตฺติ จิตหลุดพ้นโดยแล่นออกจากสังขารธรรม เป็นวิมุตฺติของผู้เจริญวิปัสสนา มีปัญญาเห็นตามความเป็นจริงว่า สังขารธรรมทั้งหลายไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ทำให้จิตหลุดพ้นแล่นออกจากความทุกข์ เข้าสู่นิพพาน เป็นธรรมชาติ หาเครื่องเสียบแทงไม่ได้
ลักษณะการหลุดพ้นของจิตทั้ง ๕ นี้ ตทงฺควิมุตฺติ และวิกฺขมฺภนวิมุตฺติ มักจะเกิดจากการเจริญสมถะอย่างเดียว ส่วนการหลุดพ้นแบบ สมุจฺเฉทวิมุตฺติ ปฏิปสฺสทฺธิวิมุตฺติ และนิสฺสรณวิมุตฺติ นั้น เกิดจากการเจริญสมถะและวิปัสสนาคู่กันไป เป็นโลกุตฺตรวิมุตฺติ เพราะกิเลสถูกประหารไปจากจิต

 

พัฒนาโดย นายเจษฎา ปวุตตานนท์ นายดนัยพงศ์ จรัสวิชญ์
นิสิตชั้นปีที่4 คณะวิทยาศาสตร์ เอกฟิสิกส์ แขนงอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร จ.พิษณุโลก
e-mail : Mr.Jessada@hotmail.com , Picnic_NU@hotmail.com